ใคร ๆ ก็คิดว่า ครัวซองต์ (Croissant) น่าจะมีจุดกำเนิดในประเทศฝรั่งเศส แต่เปล่าเลย ขนมอร่อย ๆ ชิ้นนี้มีที่มาจากไหน ใครเป็นคนคิด ต้องตามมาดู
ครัวซองต์ (Croissant) หรือขนมอบที่ใช้แป้งพายชั้นมา เป็นส่วนผสมในการทำ ที่คนส่วนใหญ่อาจคิดว่า มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศส เพราะคำว่า Croissant นั้นเป็นภาษาฝรั่งเศส ซึ่งหมายถึงพระจันทร์เสี้ยว ทำให้ลักษณะรูปร่างของขนมครัวซองต์นั้นเหมือนกับพระจันทร์เสี้ยวนั่นเอง และแท้ที่จริงแล้วครัวซองต์นั้นไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากประเทศฝรั่งเศสแต่อย่างใดแต่ต้นกำเนิดที่แท้จริงของขนมชนิดนี้มาจากที่ไหน วันนี้กระปุกดอทคอมมีคำตอบให้คุณค่ะ
จากเรื่องราวในประวัติศาสตร์เชื่อกันว่า ครัวซองต์มีต้นกำเนิดมาจากประเทศออสเตรีย โดยเรื่องราวของครัวซองต์ได้เริ่มขึ้นในศตวรรษที่ 17 หรือราว ๆ ปี 1683 ได้เกิดสงครามสู้รบระหว่างชาวเติร์กและชาวออสเตรีย โดยชาวเติร์กได้ส่งกองทัพมาล้อมกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย เป็นเวลานานแรมเดือนแต่ก็ยังไม่สามารถตีผ่านกำแพงเมืองเข้าไปได้ ทำให้ทหารชาวเติร์กคิดจะขุดอุโมงค์เพื่อโจมตี แต่ระหว่างที่ขุดอุโมงค์นั้น คนทำขนมปังที่อยู่เวรดึกเกิดได้ยินเสียงจึงไปเตือนทหารชาวออสเตรียทำให้รักษากรุงเวียนนาเอาไว้ได้ และต่อมาสามารถขับไล่กองทัพชาวเติร์กออกไป ซึ่งชัยชนะที่ได้รับทำให้มีการเฉลิมฉลองและมีการทำขนมปังรูปพระจันทร์เสี้ยวซึ่งเป็นธงสัญลักษณ์ของพวกชาวเติร์ก และนี่เองก็คือจุดกำเนิดของขนมครัวซองต์
แต่ก็มีอีกเรื่องราวหนึ่งที่แตกต่างกันออกไปได้เล่าไว้ก็คือ เจ้าหญิงมารี อังตัวแนต (Marie Antoinette) แห่งประเทศออสเตรียได้เสด็จอภิเษกสมรสกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และได้ย้ายมาอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ด้วยความที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารของชาวฝรั่งเศส รวมถึงคิดถึงอาหารประเทศของตน เจ้าหญิงมารีเลยให้พ่อครัวทำขนมครัวซองต์ขึ้นมา และนี่เองก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมครัวซองต์ถึงกลายเป็นขนมที่นิยมในประเทศฝรั่งเศสจนมาถึงปัจจุบันนี้
แต่อย่างไรก็ตามต้นกำเนิดของครัวซองต์นั้นไม่ได้มีหลักฐานระบุไว้แน่ชัดและมีเรื่องเล่าที่แตกต่างกันออกไปมากมาย บ้างก็ว่าต้นกำเนิดมาจากประเทศออสเตรีย ประเทศฮังการีบ้าง ประเทศโรมาเนียบ้าง แต่ไม่ว่าจะมีแหล่งกำเนิดมาจากที่ใดก็ตาม ขนมครัวซองต์ก็ได้กลายเป็นขนมสุดโปรดยอดนิยมของคนทั่วโลกไปโดยปริยาย
วันศุกร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2560
ปฏิวัติฝรั่งเศส
ปฏิวัติฝรั่งเศส
การปฏิวัติฝรั่งเศสเป็นการปฏิวัติใหญ่ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 18 ก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงโฉมหน้าทางการเมืองทั่วยุโรป โดยมีสาเหตุทางด้านการคลังเป็นพื้นฐาน
เป็นการปฏิวัติโดยกลุ่มชนชั้นกลางที่ต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองโดยการล้มล้างการปกครองในระบอบเก่า (Ancient Regime) หรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolutism) มาสู่อำนาจอธิปไตยของประชาชน
รูป พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖
สาเหตุทั่วไปของการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1789 ประกอบด้วย
ด้านการเมือง 1. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงไม่เข็มแข็งพอไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารประเทศจึงเปิดโอกาสให้คณะบุคคลบางกลุ่มเข้ามามีสิทธิร่วมในการบริหารประเทศ
2. สภาท้องถิ่น (Provincial Estates) เป็นสภาที่มีอยู่ทั่วไปในฝรั่งเศส และตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของขุนนางท้องถิ่น เริ่มกลับเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง
3. สภาปาลมองต์ (Parlement) หรือศาลสูงสุดของฝรั่งเศส ทำหน้าที่ให้การปรึกษากับกษัตริย์มีสิทธิ์ยังยั้งการออกกฎหมายใหม่ (Vito) ซึ้งเป็นสภาที่เป็นปากเป็นเสียงของประชนเคยถูกปิดไปแล้ว กลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้ง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงยอมให้สภาปามองต์แสดงบทบาทสามารถต่อรองขอสิทธิบางอย่างทางการเมือง
4. สภาฐานันดรหรือสภาทั่วไป (Estates General) ที่จัดตั่งขึ้นในยุคกลางในสมัยพระเจ้าฟิลิปที่ 4 เพื่อต่อต้านอำนาจของสันตปาปา ซึ่งมีผลทำให้เกิดชนชั้นของประชาชน 3 ชนชั้นคือ พระ ขุนนาง และสามัญชน, ในปี ค.ศ. 1789 สถานะทางด้านการคลังของประเทศเกิดปัญหาขาดดุลอย่างหนัง ทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เปิดสภานี้ขึ้นมาใหม่หลังจากจากที่ถูกปิดไปถึง 174 ปี เพื่อขอเสียงสนับสนุนจากตัวแทนของประชาชนในการขอเก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่เกิดปัญหาการนับคะแนนเสียงขึ้น จนกลายเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติในเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 1789
5. ประเทศฝรั่งเศสไม่มีรัฐธรรมนูญ ทำให้การปกครองเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และประชาชนไม่ได้รับการคุ้มครอง
ด้านการเมือง 1. พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงไม่เข็มแข็งพอไม่มีอำนาจเด็ดขาดในการบริหารประเทศจึงเปิดโอกาสให้คณะบุคคลบางกลุ่มเข้ามามีสิทธิร่วมในการบริหารประเทศ
2. สภาท้องถิ่น (Provincial Estates) เป็นสภาที่มีอยู่ทั่วไปในฝรั่งเศส และตกอยู่ภายใต้อำนาจอิทธิพลของขุนนางท้องถิ่น เริ่มกลับเข้ามามีบทบาทอีกครั้ง
3. สภาปาลมองต์ (Parlement) หรือศาลสูงสุดของฝรั่งเศส ทำหน้าที่ให้การปรึกษากับกษัตริย์มีสิทธิ์ยังยั้งการออกกฎหมายใหม่ (Vito) ซึ้งเป็นสภาที่เป็นปากเป็นเสียงของประชนเคยถูกปิดไปแล้ว กลับเข้ามามีอำนาจอีกครั้ง พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงยอมให้สภาปามองต์แสดงบทบาทสามารถต่อรองขอสิทธิบางอย่างทางการเมือง
4. สภาฐานันดรหรือสภาทั่วไป (Estates General) ที่จัดตั่งขึ้นในยุคกลางในสมัยพระเจ้าฟิลิปที่ 4 เพื่อต่อต้านอำนาจของสันตปาปา ซึ่งมีผลทำให้เกิดชนชั้นของประชาชน 3 ชนชั้นคือ พระ ขุนนาง และสามัญชน, ในปี ค.ศ. 1789 สถานะทางด้านการคลังของประเทศเกิดปัญหาขาดดุลอย่างหนัง ทำให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เปิดสภานี้ขึ้นมาใหม่หลังจากจากที่ถูกปิดไปถึง 174 ปี เพื่อขอเสียงสนับสนุนจากตัวแทนของประชาชนในการขอเก็บภาษีเพิ่มขึ้น แต่เกิดปัญหาการนับคะแนนเสียงขึ้น จนกลายเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดการปฏิวัติในเดือน กรกฎาคม ค.ศ. 1789
5. ประเทศฝรั่งเศสไม่มีรัฐธรรมนูญ ทำให้การปกครองเป็นไปอย่างไม่มีประสิทธิภาพ และประชาชนไม่ได้รับการคุ้มครอง
ด้านเศรษฐกิจ
1. สืบเนื่องมาจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยในราชสำนัก เป็นปัญหาสั่งสมมาจนถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
2. เป็นปัญหาสืบเนื่องมาจากการที่ฝรั่งเศสเข้าไปพัวพันกับสงครามในต่างประเทศมากเกินไป โดยเฉพาะสงครามกู้เอกราชของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776 จึงทำให้เกิดค้าใช้จ่ายสูง
3. เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพเศรษฐกิจจากภาคเกษตรกรรมมาสู่ภาคอุตสาหกรรม ทำให้เกิดวิกฤตการทางการเกษตร ราคาอาหารสูงขึ้นไม่สมดุลกับค่าแรงที่ได้รับ การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นมา คือชนชั้นกลาง (พ่อค้า นายทุน) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการปฏิวัติ
4. พระเจ้าหลุยส์ไม่สามารถตัดค่าใช้จ่ายในราชสำนักได้ แต่ก็พยายามแก้ไขโดย
- ปรับปรุงการเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก่อให้เกิดการไม่พอใจในกลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่เคยเสียภาษี
- เพิ่มการกู้เงิน ซึ่งก็ช่วยทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยมากขึ้นด้วยเช่นกัน
- ตัดรายจ่ายบางประการ เช่น การเลิกเบี้ยบำนาน ลดจำนวนค่าราชการ ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ ยังส่งผลถึงการทำงานของราชการไม่มีประสิทธิภาพ
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากแก้ไขที่ไม่ตรงจุด จึงไม่สามารถตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงไปได้
1. สืบเนื่องมาจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยในราชสำนัก เป็นปัญหาสั่งสมมาจนถึงพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
2. เป็นปัญหาสืบเนื่องมาจากการที่ฝรั่งเศสเข้าไปพัวพันกับสงครามในต่างประเทศมากเกินไป โดยเฉพาะสงครามกู้เอกราชของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 1776 จึงทำให้เกิดค้าใช้จ่ายสูง
3. เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสภาพเศรษฐกิจจากภาคเกษตรกรรมมาสู่ภาคอุตสาหกรรม ทำให้เกิดวิกฤตการทางการเกษตร ราคาอาหารสูงขึ้นไม่สมดุลกับค่าแรงที่ได้รับ การเปลี่ยนแปลงนี้ก่อให้เกิดชนชั้นใหม่ขึ้นมา คือชนชั้นกลาง (พ่อค้า นายทุน) ซึ่งมีส่วนสำคัญในการปฏิวัติ
4. พระเจ้าหลุยส์ไม่สามารถตัดค่าใช้จ่ายในราชสำนักได้ แต่ก็พยายามแก้ไขโดย
- ปรับปรุงการเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ก่อให้เกิดการไม่พอใจในกลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่เคยเสียภาษี
- เพิ่มการกู้เงิน ซึ่งก็ช่วยทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องจ่ายค่าดอกเบี้ยมากขึ้นด้วยเช่นกัน
- ตัดรายจ่ายบางประการ เช่น การเลิกเบี้ยบำนาน ลดจำนวนค่าราชการ ซึ่งทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ ยังส่งผลถึงการทำงานของราชการไม่มีประสิทธิภาพ
การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจไม่เป็นผลสำเร็จ เนื่องจากแก้ไขที่ไม่ตรงจุด จึงไม่สามารถตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลงไปได้
ด้านสังคม 1. การรับอิทธิพลทางความคิดของชาวต่างชาติ จาการที่ฝรั่งเศสเข้าไปช่วยสหรัฐอเมริกาทำสงครามประกาศอิสภาพจากอังกฤษ จึงทำให้รับอิทธิพลทางความคิดด้านเสรีภาพนั้นกลับเข้ามาในประเทศด้วย อิทธิพลทางความคิดที่สำคัญที่รับมาคือจากบรรดานักปรัชญากลุ่ม ฟิโลซอฟส์ (Philosophes) นักปรัชญาคนสำคัญคือ วอร์แตร์, จอห์น ล็อค, รุสโซ่
2. เกิดปัญหาความแตกต่างทางสังคม อันเนื่องมาจากพลเมืองแบ่งออกเป็น 3 ฐานันดร คือ
- ฐานันดรที่ 1 พระ
- ฐานันดรที่ 2 ขุนนาง
- ฐานันดรที่ 3 สามัญชน
ฐานันดรที่ 1 และ 2 เป็นกลุ่มที่มีอภิสิทธิ์ชน คือไม่ต้องเสียภาษี ทำให้กลุ่มฐานันดรที่ 3 ต้องแบกรับภาระทั้งหลายอย่างเอาไว้เช่น การเสียภาษี การจ่ายเงินค่าเช่าที่ดิน และการถูกเกณฑ์ไปรบ กลุ่มฐานันดรที่ 3 ถือเป็นกลุ่มไม่มีอภิสิทธิ์ชน
2. เกิดปัญหาความแตกต่างทางสังคม อันเนื่องมาจากพลเมืองแบ่งออกเป็น 3 ฐานันดร คือ
- ฐานันดรที่ 1 พระ
- ฐานันดรที่ 2 ขุนนาง
- ฐานันดรที่ 3 สามัญชน
ฐานันดรที่ 1 และ 2 เป็นกลุ่มที่มีอภิสิทธิ์ชน คือไม่ต้องเสียภาษี ทำให้กลุ่มฐานันดรที่ 3 ต้องแบกรับภาระทั้งหลายอย่างเอาไว้เช่น การเสียภาษี การจ่ายเงินค่าเช่าที่ดิน และการถูกเกณฑ์ไปรบ กลุ่มฐานันดรที่ 3 ถือเป็นกลุ่มไม่มีอภิสิทธิ์ชน
สาเหตุปัจจุบันของการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1789
เมื่อประเทศฝรั่งเศสประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงทรงเปิดประชุมสภาฐานันดร (Estates General) ในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1789 เพื่อขอคะแนนเสียงของตัวแทนของประชาชนทุกกลุ่มช่วยกันแก้ไขปัญหาทางการคลัง แต่ได้เกิดปัญหาขึ้นเพราะกลุ่มฐานันดรที่ 3 เรียกร้องให้นับคะแนนเสียงเป็นรายหัว แต่กลุ่มฐานันดรที่ 1 และ 2 ซึ่งได้ร่วมมือกันเสมอนั้นเสนอให้นับคะแนนเสียงแบบกลุ่ม จึงทำให้กลุ่มฐานันดรที่ 3 เดินออกจากสภา แล้วจัดตั้งสภาแห่งชาติ (National Assombly) เรียกร้องให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ปิดห้องประชุม
ต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1789 สภาแห่งชาติได้ย้ายไปประชุมที่สนามเทนนิส และร่วมสาบานว่าจะไม่ยอมแพ้และไม่ยอมแยกจากกันจนกว่าจะได้รับชัยชนะ และต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใช้ในการปกครองประเทศ
ในขณะเดียวกันกับความวุ่นวายได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปารีส และได้ขยายตัวออกไปทั่วประเทศ ฝูงชนชาวปารีสได้รับข่าวลือว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กำลังจะส่งกำลังทหารเข้ามาปราบปรามความฝูงชนที่ก่อวุ่นวายในปารีส
ดังนั้น ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 ฝูงชนจึงได้ร่วมมือกันทำลายคุกบาสติล(Bastille) ซึ่งเป็นสถานที่คุมขังนักโทษทางการเมือง และถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองในระบอบเก่า
เมื่อประเทศฝรั่งเศสประสบปัญหาทางด้านเศรษฐกิจจนไม่สามารถแก้ปัญหาได้ พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงทรงเปิดประชุมสภาฐานันดร (Estates General) ในวันที่ 17 มิถุนายน ค.ศ. 1789 เพื่อขอคะแนนเสียงของตัวแทนของประชาชนทุกกลุ่มช่วยกันแก้ไขปัญหาทางการคลัง แต่ได้เกิดปัญหาขึ้นเพราะกลุ่มฐานันดรที่ 3 เรียกร้องให้นับคะแนนเสียงเป็นรายหัว แต่กลุ่มฐานันดรที่ 1 และ 2 ซึ่งได้ร่วมมือกันเสมอนั้นเสนอให้นับคะแนนเสียงแบบกลุ่ม จึงทำให้กลุ่มฐานันดรที่ 3 เดินออกจากสภา แล้วจัดตั้งสภาแห่งชาติ (National Assombly) เรียกร้องให้พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ปิดห้องประชุม
ต่อมาวันที่ 20 มิถุนายน ค.ศ. 1789 สภาแห่งชาติได้ย้ายไปประชุมที่สนามเทนนิส และร่วมสาบานว่าจะไม่ยอมแพ้และไม่ยอมแยกจากกันจนกว่าจะได้รับชัยชนะ และต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใช้ในการปกครองประเทศ
ในขณะเดียวกันกับความวุ่นวายได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในปารีส และได้ขยายตัวออกไปทั่วประเทศ ฝูงชนชาวปารีสได้รับข่าวลือว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กำลังจะส่งกำลังทหารเข้ามาปราบปรามความฝูงชนที่ก่อวุ่นวายในปารีส
ดังนั้น ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 ฝูงชนจึงได้ร่วมมือกันทำลายคุกบาสติล(Bastille) ซึ่งเป็นสถานที่คุมขังนักโทษทางการเมือง และถือว่าเป็นสัญลักษณ์ของการปกครองในระบอบเก่า
รูปการทำลายคุกบาสติล
ผลจากการปฏิวัติฝรั่งเศส ค.ศ.1789
1. เปลี่ยนจากการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (คนเดียว) มาสู่ระบอบสาธารณรัฐ (หลายตน)
2. มีการล้มล้างกลุ่มอภิสิทธิชน พระและขุนนางหมดอำนาจ, กลุ่มสามัญชน กรรมกร ชาวนา และโดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลาง เข้ามามีอำนาจแทนที่
3. ศาสนาจักรถูกรวมเข้ากับรัฐ ทำให้อำนาจของสันตะปาปาถูกควบคุมโดยรัฐ
4. เกิดความวุ่นวายทั่วประเทศเพราะประชนชนบางส่วนยังติดอยู่กับการปรครองแบบเก่า
1. เปลี่ยนจากการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (คนเดียว) มาสู่ระบอบสาธารณรัฐ (หลายตน)
2. มีการล้มล้างกลุ่มอภิสิทธิชน พระและขุนนางหมดอำนาจ, กลุ่มสามัญชน กรรมกร ชาวนา และโดยเฉพาะกลุ่มชนชั้นกลาง เข้ามามีอำนาจแทนที่
3. ศาสนาจักรถูกรวมเข้ากับรัฐ ทำให้อำนาจของสันตะปาปาถูกควบคุมโดยรัฐ
4. เกิดความวุ่นวายทั่วประเทศเพราะประชนชนบางส่วนยังติดอยู่กับการปรครองแบบเก่า
5. มีการจับขุนนางประหารด้วยเครื่องกิโยตินมากมาย และที่สำคัญ พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ถูกตัดสินให้ประหารชีวิตเมื่อวันที่ 21 มกราคม 1793 และพระนาง มารี อังตัวเนตต์ ถูกตัดสินประหารชีวิตด้วยเครื่องกิโยติน ในวันที่ 10 ตุลาคม 1793 เป็นการสิ้นสุดราชวงศ์บลูบลองก์ที่ปกครองฝรั่งเศสมานาน
6. มีการทำสงครามกับต่างชาติ
7. มีการขยายอิทธิพลแนวความคิดและเป็นต้นแบบของการปฏิวัติไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรป
6. มีการทำสงครามกับต่างชาติ
7. มีการขยายอิทธิพลแนวความคิดและเป็นต้นแบบของการปฏิวัติไปยังประเทศอื่น ๆ ในยุโรป
รูปเครื่องประหารกิโยติน (Guillotine)
วันเสาร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2560
ทักทายชาวต่างชาติยังไงไม่ให้น่าเบื่อนอกเหนือจากคำว่า Hi หรือ Hello
Formal – การทักทายอย่างเป็นทางการ แบบที่ยังไม่สนิท หรือถ้าสนิทแล้วก็ยังพูดได้
- “Good morning” “Good afternoon” “Good evening” – “สวัสดีตอนเช้า” “สวัสดีตอนกลางวัน” “สวัสดีตอนเย็น”
อันนี้แล้วแต่เวลาที่ทักทาย
- “It’s nice to meet you.” “It’s a pleasure to meet you.” – “ยินดีที่ได้พบคุณ/ได้เจอคุณ”
มักใช้กับการพบปะกันครั้งแรก แต่ถ้าพบกันในครั้งถัดๆไปแล้ว ก็สามารถเติม “again” ตามหลังประโยคได้ เช่น “It’s nice to meet you again.” “It’s a pleasure to meet you again.”
- “How do you do.” – “สวัสดี”
- เป็นการทักทายอย่างเป็นทางการมาก ส่วนใหญ่จะเป็นคนอังกฤษพูดทักทายกันInformal – คำทักทายที่มีความเป็นกันเองขึ้นมาหน่อย ได้แก่
- “Morning!” – “สวัสดีตอนเช้า”
เป็นคำย่อมาจาก “Good moning” - “How are you” “How are things (with you)?” “What’s new?” – “เป็นอย่างไรบ้าง”
- ถ้าแปลกันตรงๆก็คือ “เรื่องของคุณเป็นอย่างไรบ้าง” “คุณมีเรื่องราวอะไรใหม่ๆบ้าง” คล้ายๆกับเป็นการอัพเดทชีวิตกันและกัน
- “It’s good to see you.” – “ดีใจที่ได้พบคุณ”
มักใช้กันคนที่ไม่ได้เจอมาซักพักนึง- “G’day!” ย่อมาจากคำว่า “Good day” – “สวัสดี”
ประมาณว่า “เป็นวันที่ดีนะ”- “Howdy!” – “สวัสดี”
เป็นคนทักทายโดยเฉพาะคนทางใต้ของอเมริกาCasual – คำทักทายที่มีความเป็นกันเองแบบเพื่อนๆคุยกัน- “Hey” “Hey there” “Yo!” – “สวัสดี”
- “What’s up?” (หรือพูดย่อๆว่า “‘Sup?”) “How’s it going?” “What’s happening”
มีความหมายโดยรวมคือ “เป็นไง” “มีไรบ้าง” - “How come I never see you” – “ทำไมไม่ค่อยเห็นคุณเลย”, “It’s been such a long time” – “ไม่ได้เจอกันตั้งนานแหน่ะ”, “Long time no see” – “นานแล้วนะที่ไม่ได้เจอกัน”, “Where have you been hiding” – “คุณหายไปไหนมาเนี่ย”, “It’s been ages since we last met’ – “ครั้งสุดท้ายที่เราเจอกันมันก็นานมากแล้วนะ”
วิธีเลือกใช้แก้วไวน์
วิธีเลือกใช้แก้วไวน์
แก้วไวน์ประกอบด้วย 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนถ้วย (Bowl) ส่วนก้าน (Stem) และ ฐาน Foot) ของแก้วไวน์ การเลือกใช้แก้วไวน์ให้เหมาะกับชนิดของไวน์ที่เราเลือกดื่มนั้นสำคัญเนื่องจากลักษณะของแก้วไวน์แต่ละแบบมีผลต่อการรับรู้รสและกลิ่นของไวน์ซึ่งส่งผลกับการดื่มไวน์ในที่สุด เช่นเดียวกันวิธีการเลือกใช้แก้วเบียร์เช่นกันที่มีศาสตร์และศิลป์ในการเลือก ทั้งนี้เป็นเพราะรสชาติ กลิ่น และระดับแอลกอฮอลที่แตกต่างกันในไวน์ชนิดต่างๆ ถึงขนาดว่า หากคุณเลือกใช้แก้วไวน์ได้ถูกต้อง แก้วไวน์จะดึงลักษณะเฉพาะที่โดดเด่นของไวน์นั้นๆได้เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นความหอม กลิ่นผลไม้ กลิ่นไม้โอ๊ค หรือรสชาติความหวาน ความฝาด และความกลมกล่อมของไวน์ มากไปกว่านั้นการออกแบบของแก้วไวน์แต่ละแบบจะเป็นตัวนำไวน์ไปสู่ส่วนต่างๆของลิ้นของคุณแตกต่างกันไปอีกด้วย
แก้วไวน์แดง: แก้วสำหรับไวน์แดงจะมีลักษณะทรงกลม ส่วนถ้วยจะอ้วนและปากกว้างเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้อากาศเข้าไปทำปฏิกิริยา(Oxidation) กับไวน์ในถ้วย ซึ่งกล่าวกันว่าปฏิกิริยาเคมีนี้จะไปทำให้รสชาติและกลิ่นของไวน์แดงนุ่มละมุนขึ้น เพราะไวน์แดงโดยปกติจะมีรสค่อนข้างจัดและซับซ้อน แก้วสำหรับไวน์แดงมีดังนี้
แก้วกรองด์ครู (Grand Cru): ความโดดเด่นของแก้วกรองด์ครูนั้นสร้างมาเพื่อดึงความลุ่มลึกของรสชาติไวน์ระดับโลก ปากแก้วกรองด์ครูจะปานออกจากส่วนถ้วยนิดหน่อยซึ่งต่างจากแก้วไวน์ทั่วไป เพื่อเน้นรสชาติของผลไม้ในไวน์โดยการนำไวน์ไปสู่ปลายลิ้นของคุณ ทรงแก้วเหมือนแก้วไวน์ชนิดนี้เหมาะกับไวน์แดงแบบ Fuller-Body เช่น ไวน์ที่ได้รางวัลในวิธีการประกวดใหญ่ๆ และไวน์ที่ถูกเก็บไว้เป็นเวลานาน (Long-aged wine)
แก้วคาบาเน่ (Cabernet) และ แก้วบอร์โดขนาดใหญ่ (Large Bordeaux): แก้วคาบาเน่และแก้วบอร์โดถูกใช้อย่างแพร่หลายกับไวน์แทบทุกแบบยกเว้นไวน์แบบ Light-Bodied ทรงแก้วเป็นกระเปาะกลมแต่มีด้านข้างของแก้วที่ตรงขึ้นไปหน่อยเพื่อทำให้ไวน์ในแก้วสัมผัสอากาสมากขึ้น ทำให้ไวน์ได้ ”หายใจ” และสร้างรสชาติดียิ่งขึ้น โดยแก้วบอร์โดจะมีขนดสูงและใหญ่กว่าแก้วคาบาเน่เล็กน้อย การออกแบบของแก้วไวน์ทั้งสองนี้จะนำไวน์ในแก้วไปสู่ตุ่มรับรสที่กลางลิ้น เพื่อลดความฝาด (Tannin) ในไวน์ประเภทเบอร์กันดี และกลุ่มที่คล้ายกัน
เหมาะกับ: Cabernet Sauvignon, Malbec, Tempranillo
แก้วพิโนนัวร์ (Pinot Noir) และ แก้วเบอร์กันดี (Burgundy): แก้วทรงบอลลูนสำหรับเก็บรสชาติและกลิ่นของไวน์แดงประเภท Light-Bodied ไปจนถึง Medium-Bodied แก้วพิโนนัวร์และแก้วเบอร์กันดีจะเป็นกระเปาะกว้างและกลมกว่าแก้วคาบาเน่และแก้วบอร์โด เพื่อเพิ่มเพิ่มที่ให้ความหอมละเอียดอ่อนของไวน์ระเหยขึ้นมา แต่ปากแก้วจะเล็กกว่าเพื่อให้กลิ่นไวน์ตลบอบอวนอยู่ภายในถ้วย
แก้วไวน์ขาว: แบ่งเป็น 2 ประเภทหลักคือ
แก้วโซวิญองบลอง (Sauvignon Blanc): แก้วโซวิญองบลองเป็นแก้วมาตรฐานที่ใช้สำหรับไวน์ขาวอ่อนๆ (Light wine) ที่มีความสดชื่นสดใส (Fresh and Crisp) หรือไวน์ประเภท Rosé ไวน์ประเภทนี้ไม่ต้องการให้มีปฏิกิริยา Oxidation มากนักเพราะอากาศที่สัมผ้สกับไวน์มากเกินไปจะไปทำลายความหอมอ่อนๆของไวน์ ดังนั้น ลักษณะถ้วยจะไม่เป็นกระเปาะมากนัก ปากแก้วไม่กว้าง เพื่อรักษาความหอมละมุ่น เช่น กลิ่นผลไม้ กลิ่นดอกไม้ เป็นต้น
เหมาะกับ: Sauvignon Blanc, Riesling, Pinot Grigio, Albariño, Grüner Veltliner, Viognier, Semillon, Chenin Blanc, Lighter Rosé Wines
แก้วชาร์โดเนย์ (Chardonnay): แก้วชาร์โดเนย์เหมาะกับไวน์ขาวที่มี Full-Bodied ลักษณะถ้วยเป็นกระเปาะและตื้น ปากแก้วจะกว้างกว่าแก้วโซวิญองบลอง เพื่อปล่อยให้กลิ่นของไวน์ระเหยออกมาอบอวล และให้ไวน์สัมผัสกับอากาศได้เร็วเช่นเดียวกับไวน์แดงแบบ Full-Bodied เพื่อเพิ่มรสชาติและรักษาสมดุลของกลิ่นต่างๆ ให้คุณได้ซาบซึม
แก้วแชมเปญ (Champagne flutes): แชมเปญและกลุ่ม Sparkling Wine เป็นกลุ่มย่อยของไวน์ขาวและนิยมดื่มเมื่อแช่เย็น แก้วแชมเปญจึงถูกออกแบบให้มีลักษณะเฉพาะตัวคือ ส่วนถ้วยและปากถ้วยแคบ เพื่อลดพื้นผิวที่จะสัมผัสกับอากาศและเก็บความซ่า (Sparkling Carbonation) เอาไว้ในขณะดื่มให้ได้นานที่สุด อีกทั้งมีส่วนก้านถ้วยสูง เพื่อป้องกันความร้อนจากมือคนดื่มเวลาถือถ้วย การออกแบบของแก้วแชมเปญที่เป็นถ้วยทรงสูงยังสร้างความสุนทรีของการดื่มแชมเปญได้อีก เมื่อมองเห็นฟองอากาศในแชมเปญสามารถเดินทางได้ยาวขึ้นกว่าจะถึงพื้นผิว
เหมาะกับ: Champagne, Champagne-style sparkling wines, Prosecco, Cava
แก้วสำหรับไวน์รสหวาน (Dessert Wine): แก้วสำหรับไวน์รสหวานที่ดื่มคู่กับของหวาน ขนม เค้ก มีหลายทรง ขึ้นอยู่กับระดับความหวานและปริมาณแอลกอฮอลของไวน์ที่ดื่ม เช่นเดียวกับการใช้งานของไวน์ขาวและไว้แดง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)